บริการด้านอาหาร: กินแคลเซียมอย่างไร ให้ได้ประโยชน์สูงสุด หลายคนคงเคยได้ยินว่า แคลเซียม มีความสำคัญในการสร้างกระดูกและฟัน เพื่อให้กระดูกและฟันมีความแข็งแรงมากขึ้น สารประกอบของแคลเซียมส่วนใหญ่จะอยู่ที่ตอนปลายของกระดูกเรียกว่า ทราเบคูลาร์ หากร่างกายได้รับปริมาณแคลเซียมอย่างเพียงพอ ทราเบคูลาร์จะเกิดการพัฒนาและทำให้ส่วนปลายของกระดูกมีความแข็งแรงยิ่งขึ้น และยังช่วยให้ระดับของแคลเซียมในเลือดเกิดความสมดุลอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย แต่เราต้องเขาใจก่อนว่า ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์แคลเซียมเองได้
แต่เราสามารถหาแคลเซียมได้จาก 2 แหล่ง ได้แก่ อาหาร เช่น นม, กุ้งแห้ง, กะปิ, ปลาเล็กปลาน้อย, ปลาสลิด, หอยนางรม, ผักใบเขียว เช่นคะน้า, ใบยอ, ใบชะพลู, งาดำ ฯลฯ แต่ก็ต้องรับประทานอย่างระมัดระวัง เพราะหากเรารับประทานแคลเซียมในปริมาณที่มากเกินไป จนเกิดการสะสม ก็จะทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในไต หินปูนในเต้านม มะเร็งเต้านม หินปูนในหลอดเลือด และหลอดเลือดตีบตัน
ดังนั้น เราจะต้องรับประทานอย่างระมัดระวัง แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า เราจะต้องรับประทานแคลเซียมอย่างไร ให้ปลอดภัยและได้ประโยชน์สูงสุด ซึ่งวันนี้ทางเราจะมาแนะนำเคล็ดลับการรับประทานแคลเซียมให้ได้ประโยชน์มากที่สุด แถมยังปลอดภัยด้วย เพราะอย่างที่บอกว่า แคลเซียม เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายของเรา ซึ่งต้องระมัดระวังในการเลือกรับประทานด้วย
สำหรับ แคลเซียมเป็นแร่ธาตุจำเป็นชนิดหนึ่ง เป็นส่วนสำคัญของกระดูกและฟัน เรียกได้ว่าเป็นหน้าที่หลักของแคลเซียมเลยก็ว่าได้เพราะ 99% ของแคลเซียมในร่างกายอยู่ในกระดูกและฟัน ส่วนอีก 1% อยู่ในกระแสเลือด นอกจากทำให้กระดูกและฟันแข็งแรงแล้ว แคลเซียมยังมีหน้าที่อื่น ๆ อีกหลายอย่าง เช่น มีส่วนช่วยในการทำงานของกล้ามเนื้อ ช่วยในการทำงานของสารสื่อประสาท ช่วยในการแข็งตัวของเลือด
ช่วยในการทำงานของเอนไซม์ในระบบย่อยอาหาร และยังช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานจากกระบวนการเมตาบอลิซึมของอาหาร ถึงจะมีประโยชน์มากมายขนาดนี้ แต่ร่างกายกลับไม่สามารถสร้างแคลเซียมขึ้นเองได้ จึงเหลือทางเดียวที่ร่างกายจะได้รับแคลเซียมให้เพียงพอก็คือการได้รับจากอาหารเท่านั้น สำหรับการเลือกรับประทานแคลเซียมให้ได้ผล ให้เลือกแคลเซียมที่ละลายน้ำได้ดี ได้แก่ แคลซียมซิเตรท แคลเซียมแลคเตท กลูโคเนท การรับประทานแคลเซียมชนิดเม็ดฟู่ หรือผงชงดื่มจะละลายได้ดีกว่าชนิดเม็ด
โดยรับประทานครั้งละ 600-800 มิลลิกรัม ดูดซึมได้ดีกว่าปริมาณมาก ๆ เพราะฉะนั้น ควรรับประทานแคลซียมพร้อมมื้ออาหารเย็น เพราะช่วงเวลากลางคืนเป็นช่วงที่แคลเซียมไหลออกจากกระดูกมากที่สุด ปริมาณแคลเซียมที่สูงขึ้นจะป้องกันการไหลออกจากกระดูก ป้องกันไม่ให้กระดูกบางได้นั่นเอง ส่วนในแง่ของการเลือกรับประทานแคลเซียมให้ได้ประโยชน์สูงสุด อย่างที่เรากล่าวไปว่า ควรเลือกสูตรที่มีส่วนผสมของแคลเซียมชิเตรท เนื่องจาก ร่างกายดูดซึมได้ 50% จำเป็นต้องรับประทานพร้อมอาหาร เพราะต้องอาศัยกรดในกระเพาะเพื่อช่วยในการดูดซึมและแคลเซียมแลคเตทกลูโคเนท
จะรับประทานตอนไหนก็ได้ที่สะดวก รับประทานตอนท้องว่างก็ได้ แต่ถ้าอยากให้ละลายน้ำได้ดี เลือกแคลเซียมที่มีส่วนผสมของวิตามินดี เพื่อช่วยในการดูดซึมแคลเซียม และเป็นประโยชน์ต่อกระดูก เพราะร่างกายไม่สามารถดูดซึมแคลเซียมได้ถ้าไม่มีวิตามินดี นอกจากจะเลือกแคลเซียม แอล-ทรีโอเนต ซึ่งร่างกายสามารถดูดซึมได้โดยไม่ต้องอาศัยวิตามินดี แต่ถ้าเลือกแคลเซียมชนิดอื่น ควรเลือกอาหารเสริมแคลเซียมที่ให้วิตามินดีมาด้วยก็จะดีกว่า แต่อย่างไรก็ตาม แคลเซียม ก็ไม่ควรรับประทานร่วมกับอาหารบางชนิด ที่จะไปลดการดูดซึมของแคลเซียม เช่น ชา กาแฟ ถ้าจำเป็นต้องดื่มชา กาแฟ ควรดื่มห่างจากแคลเซียมอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง
ดังนั้น อาหารทุกชนิด แม้ว่าจะเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เราก็ควรรับประทานอย่างถูกวิธี เพราะอาหารทุกชนิดมีทั้งสรรพคุณมากมายและก็มีโทษหากรับประทานอย่างไม่ระมัดระวัง ทางที่ดีที่สุด ควรเลือกรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน และที่สำคัญควรรับประทานอาหารในปริมาณที่เหมาะสม ไม่จำเจกับอาหารเพียงชนิดเดียว เพราะอาจจะทำให้เกิดโทษต่อร่างกายได้
ทางเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพร่างกายที่ดี เพราะการไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ ดังนั้น การดูแลตัวเองให้มีสุขภาพดี สามารถเริ่มได้จากการดูแลเรื่องอาหารการกิน เพราะโรคภัยส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารของเรา เพื่อให้มีสุขภาพร่างกายที่ดีควรหมั่นออกกำลังเป็นประจำ ดื่มน้ำให้เพียงพอ และพักผ่อนให้เพียงพอก็จะช่วยทำให้เรามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงได้แล้ว